โปรเจคการเป็น Seller Amazon ของผมผ่านไปแล้ว 1 เดือนเต็ม ผมตั้งเป้าหมายไว้ คือ ขายของบนแอมะซอน 3 เดือน จนมีกำไร 5 หมื่นบาทต่อเดือนให้ได้ ขณะนี้ผ่านไปแล้ว 1 เดือนยอดขายก็ไม่ได้เยอะอะไรมากนัก พอขายได้บ้างแต่ก็ได้จำนวนน้อยมากๆ ยังห่างไกลเป้าหมายที่วางเอาไว้เยอะ ถึงกำไรเดือนที่ผ่านมาแม้จะได้น้อยนิดก็ตาม
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้รับและคิดว่าคุ้มค่าคือประสบการณ์การขาย และ เทคนิคบางอย่างที่ได้ศึกษามาจาก Seller Amazon University แล้วนำมาลองทำดู นำมาปรับใช้ จนเห็นผล และวิเคราะห์ต่อได้ ซึ่งผลการทดลองที่ออกมานั้นค่อนข้างน่าพอใจและแปลกประหลาดใจเล็กน้อยกับระบบการค้นหาของเว็บไซต์แอมะซอน สำหรับคนที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าบนแอมะซอนมานานๆ แล้ว (หรือไปเรียนมา อาจาร์ยเขาอาจจะมีสอน อันนี้ผมไม่ทราบนะครับ) พวกเขาเหล่านั้นอาจรู้วิธีทำที่ผมจะเขียนต่อจากนี้กันแล้วก็ได้นะครับ..
เรามาดูเรื่อง ปัจจัยและเทคนิคที่ทำให้ลูกค้าซื้อของเราบนแอมะซอนกันว่ามีอะไรบ้าง..
หลักสูตรตอนหนึ่งของมหาวิทยาลัยผู้ประกอบการบนแอมะซอนนั้น ว่าด้วยเรื่อง “การทำให้ลูกค้าหาสินค้าของเราเจอนั้นทำได้อย่างไรบ้าง” ผมจะเขียนออกมาเป็นข้อ ๆ ตามที่ได้ศึกษามา พร้อมรายละเอียดปลีกย่อยที่ผมได้ลองทำ
- วิเคราะห์ Page Views – สำหรับผมแล้วมองเรื่อง Page Views นี้สัมพันธ์กับ Conversions หากใครที่ทำเว็บไซต์ขายของแล้ว ติด Google Analytics จะเข้าใจเรื่อง Set Goals เวลาทำ eCommerce ซึ่งประกอบด้วย Product Performance, Sale Performance, Transactions, Time to Purchase เป็นต้น เพื่อเราจะได้นำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ต่อว่าเราจะกำหนดสินค้าของเราไปในทิศทางใด ผู้สอนแอมะซอนไม่ได้บอกในจุดนี้ บอกแค่เพียงว่าให้ดู Page Views เป็นหลักแค่นั้น สำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจเรื่องการวิเคราะห์ Conversion Rate และปัจจัยที่เกี่ยวข้องในแบบ eCommerce ไว้ผมมีเวลาจะเขียนขยายความเรื่องนี้ให้อ่านกันตามความเข้าใจของผมนะครับ
- ชื่อสินค้าตรง Title และ Search Terms ต้องสมบูรณ์แบบ คำว่า สมบูรณ์แบบในแบบของแอมะซอนนั้น คือ ต้องระบุ ยี่ห้อ, วัสดุ, ส่วนผสม, สี, ขนาด, จำนวน เป็นต้น ตัวอย่าง “Dark Batman Action Figure 11 inch Vinyl Bandai Japan” ประมาณนี้ครับ ไม่จำเป็นต้องอ่านได้สละสลวย แต่ขอให้พิมพ์ให้ถูก มีคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสินค้าชิ้นนั้นใน Title ให้มากที่สุด และไม่ควรใส่คำหลักที่มีอยู่แล้วใน Title ซ้ำลงในช่อง Search Terms
การใส่ Keyword ลงในช่อง Search Terms นั้น สำหรับผมแล้ว ผมจะหา Keyword ของสินค้าที่ต้องใช้คู่กับสินค้าที่เราขายครับ ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มันจะมีของที่ต้องใช้ด้วยกันเสมอ ผมคิดเช่นนั้น ซึ่งโดยปกติแล้ว สำหรับคนทำเว็บไซต์หรือแม้แต่คนขายทั่วไปก็มักจะเข้าใจว่า ในช่องนี้ควรใส่ Related Keyword ของสินค้าเข้าไป ซึ่งจริงๆ ก็ควรทำเช่นนั้น แต่ผมคิดต่างออกไปนิดนึงเท่านั้นเอง ตัวอย่างเช่น ถ้าผมขายดินสอ ในไตเติ้ลผมอาจจะเขียน Pilot 2B Auto Pencil Lead Refill Top Grade Japan ประมาณนี้ แล้วในช่อง Search Terms ผมก็จะใส่คำว่า Paper, Architecture, Drawing, Ruler, Men, Art อะไรก็ว่าไปประมาณนี้ครับ
- ภาพของสินค้า – แอมะซอนแนะนำให้ทำภาพพื้นหลังขาว ขนาด 1000*1000 ครับ เพื่อให้ตัวสินค้าเด่น ดูแล้วเข้าใจง่าย ส่วนขนาดภาพนั้นเข้าใจว่าเป็นเรื่องของจิตวิทยา เพื่อให้ลูกค้าสามารถส่องเป็นแว่นขยายได้ จะได้เห็นตัวสินค้าชัดขึ้นแค่นั้นเอง (มันก็รูปไดคัทเดิมจะชัดขึ้นตรงไหนว่ะ ฮ่าฮ่า) เอาเป็นว่า ถ้าทำแล้ว สินค้าของเราก็จะโดดเด่นและช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เดิมผมใช้ภาพขนาด 600*600 เองครับ แต่ก็มานั่งทำภาพใหม่ให้เป็น พันคูณพัน เชื่อเขาหน่อยเผื่ออะไรมันจะดี และก็ดีขึ้นจริงๆ อีกหนึ่งอย่างสำหรับภาพนั้น ผมเองให้ความสำคัญเรื่องของการตั้งชื่อไฟล์ภาพด้วยนะครับ ผมเองใช้ชื่อสินค้าเป็นชื่อภาพทุกภาพ เพื่อที่ว่าภาพและตัวสินค้าจะได้สัมพันธ์กันอันดับก็น่าจะดีขึ้นด้วย จุดนี้ผู้สอนแอมะซอนไม่ได้บอก ผมเดาเอาเอง คิดเอาเองว่าระบบค้นหาของแอมะซอนกะกูเกิ้ลคล้ายกัน มโนประหนึ่งว่าทำเว็บไซต์อยู่ :lol:
- ปัจจัยต่อมา คือ คะแนน Feedback เมื่อเราขายสินค้าได้แล้วนั้น แอมะซอนแนะนำให้เราทำการขอ Feedback จากผู้ซื้อ ซึ่งจะเป็นผลดีต่ออันดับสินค้าของเราต่อไปในผลการค้นหา
- ปัจจัยสุดท้าย คือ การทำโฆษณาบนแอมะซอน Pay Per Click (PPC) อันนี้คือ ท่าไม้ตายเลยครับ ทำปั้บลูกค้าเห็นสินค้าเลยทันที ลงสินค้าไปครึ่งชั่วโมง ลงโฆษณาแป้บเดียว Page Views มา ยอดขายก็มา แต่ต้องเสียเงินเพิ่มค่าลงโฆษณาแบบประมูลคีย์อีกนิดหน่อย (ขาดทุนครับ) แต่คิดว่าจะเป็นผลดีในอนาคต ก็สนุกดีสำหรับสินค้าใหม่
- ปัจจัยเสริม (สำคัญ) ที่น่าคิดของการขายของบนแอมะซอน – ช่วงที่ลงสินค้าแรกๆ ผมกำหนดอัตราค่าจัดส่งของสินค้าเอาไว้นะครับ จนเวลาผ่านไปเกือบ 2 สัปดาห์ ก็ไม่มีลูกค้ามาซื้อสินค้าของผมเลยสักชิ้น จนผมนึกถึงช่วงวันเวลาที่ผมทำ Affiliate Marketing ให้กับแอมะซอนนั้น ส่วนใหญ่เราจะหาสินค้าที่เป็นแบบ Free Shipping เอาไปโปรโมตกัน คิดได้เช่นนั้นแล้ว ผมเลยลองปรับค่าจัดส่งเป็นแบบ Free Shipping ทั้งหมด แล้วไปบวกค่าจัดส่งเพิ่มในราคาสินค้าแทน ผลคือ 2 วันถัดมา ออเดอร์สั่งซื้อแรก 2 รายการก็เข้ามาเลย
หลังจากได้ลองผิดลองถูกมา 1 เดือนเต็ม ผมมีแนวคิดและมุมมองที่เกิดจากการขายครั้งนี้ คือ หากเราขายสินค้ารายการเดียว แต่วันหนึ่งขายได้ 10 ชิ้น กำไรชิ้นละ $5 เท่ากับวันนึงๆ เราจะมีกำไร $50 หรือ 1500 บาท (คิดเรทที่ $1 = 30บาท) เลยทีเดียว ตอนนี้เลยมีแนวคิดที่ว่าจะพยายามปั้นสินค้าขึ้นมาสัก 2 – 3 รายการ ทำโฆษณาให้ลูกค้าเห็นบ่อยๆ แล้ววัดผลดูอีกสักครั้ง ถ้าสินค้าโชคดีติดตลาดได้แล้ว ความหวังที่ว่าจะได้กำไรเดือนละ 5 หมื่นบาท กินยาวๆ สินค้าแบรนด์เราเอง ก็สำเร็จเลย..
เนื้อหาทั้งหมดนี้ เกิดจากการลองผิดลองถูกของตัวผมเอง ไม่ได้เรียนที่ไหนมาบอก นอกจากเข้าเรียน e-Class ของ Seller Amazon University ครับ ประสบการณ์ของตัวเองล้วนๆ หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านที่จะมาเป็น Sell Amazon ได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ไว้คราวหน้า มาติดตามยอดขายและความคืบหน้าของโปรเจคนี้กันต่อครับ