กี่ปีมาแล้วนะที่ตื่นมาในทุก ๆ เช้าของวันใหม่แล้วทำสิ่งเดิม ๆ ในทุก ๆ วัน กิจวัตรในแต่ละวันวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเดิม คล้ายเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ตื่น 7 โมงเช้า ทำธุระส่วนตัว ต้มกาแฟ ทำความสะอาดห้อง (กวาดพื้น) / 9 โมงเช้า นั่งหน้าคอมฯ ทำงาน ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้ท่องเที่ยว แทบจะใช้เวลาอยู่ในห้องตลอดเกือบ 24 ชั่วโมง อดทนและอยู่ได้ยังไงไม่รู้ แต่ต้องทำ.. ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างสถานะการณ์โรคระบาดตอนนี้ ปัจจัยด้านเงินทอง ภัยของสังคมที่รุนแรงขึ้น ด้วยน้ำมือของทีมรัฐบาลห่วยๆ กับนายกฯ ที่ดูจะอวดเก่งและอวดฉลาดไปวัน ๆ สำหรับผมชื่นชอบนายกฯ นะ แต่ก็แค่ช่วง 6 เดือนแรกของการมายึดอำนาจต่อแค่นั้น เพราะพอเห็นพฤติกรรมการกระทำและแนวคิดในตอนนั้นเมื่อ 7 ปีก่อน ก็รู้เลยว่าฉิบหายแน่ เป็นคนไม่มีวิสัยทัศน์และวุฒิภาวะอย่างแรง ในขณะที่พยายามบอกคนใกล้ตัวว่า คนนี้จะนำพาความฉิบหายมาแน่ๆ กลับไม่มีใครฟังและยอมรับในคำพูดผมตอนนั้น ต่างรุมด่าผม จนต้องออกมาเก็บตัวเงียบๆ ไม่เจอเพื่อนไม่เจอใคร ไม่คุยเรื่องการเมือง ตลอด 5-6 ปี เพราะแนวคิดแตกต่างกันในเรื่องการเมือง ทว่าแผนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่รัฐฯ เขาวางไว้ มันทำให้ธุรกิจผมพังและล้มละลายในเวลา 1 ปีที่เขาเพิ่งเริ่มเข้ามาบริหาร สูญเสียเงินก้อนใหญ่ที่ผมลงทุนไป ผมมองเห็นถึงความฉิบหายแต่เพื่อนๆ ผมมองไม่เห็น แปลกดี!! เวลาผ่านไป 7 ปี ณ ตอนนี้เพื่อนๆ ผมกลับเพิ่งจะมายอมรับความจริง แต่คงกลัวเสียฟอร์ม ไม่ว่ากัน แต่ไม่คบแล้ว.. เพราะทัศนคติ วุฒิภาวะ วิสัยทัศน์มึงก็แย่พอๆ กับนายกฯ ล่ะ กูไม่คบคนห่วยๆ ว่ะ มาถึงตอนนี้ผมก็มีแต่ไข่เหี่ยว ๆ อยู่ตัวคนเดียวกับอายุที่มากขึ้นและใกล้หมดไฟในการเริ่มทำธุรกิจแล้ว เงินเก็บแทบไม่เหลือ แต่ยังไงก็ต้องอยู่ให้ได้

ยามเย็นโพล้เพล้ของวันหนึ่งในขณะที่นั่งพักจากการวิ่งมา 8 กม. มีเรื่องราวให้คิดมากมายว่าเราจะไปทางไหนต่อ จะเอายังไงกับชีวิตต่อดี (กลัวโรคซึมเศร้า) คือ จะหยุดแค่นี้หรือเดินหน้าไปต่อ ณ ช่วงเวลานั้นสับสน ตันความคิด คิดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงแค่ดูลมหายใจเข้าออก เข้าออก อยู่สักพักใหญ่ เพราะเหมือนตัวเองกำลังจะขาดสติ แต่เรื่องราวในหัวก็ยังรุมเร้าเยอะแยะไปหมด

ในขณะที่ค่อย ๆ เดินกลับที่พัก ระยะทางเกือบ 2 กม. ลองคิดทบทวนประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ทำมา แล้วหามุมมองสำหรับการทำรูปแบบธุรกิจเต็มตัวดูใหม่อีกครั้ง อืม.. มันมีทางไปว่ะ แต่จะสำเร็จไหม ต้องอยู่ที่การลงมือทำอย่างจริงจัง ด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ไม่ใช่สักแต่ทำอย่างรัฐฯ ไทยตอนนี้ เอ้า..ขอแขวะการทำงานอีกดอก ฮา ฮา

กลับถึงที่พัก รีบขุดโปรเจคเก่า ๆ ออกมาดู ว่าอะไรที่พอจะปรับและทำอย่างยั่งยืนได้ และไม่ทรมานตัวเองในความสามารถมากเกินไป มันต้องมีสินะ..

และเรื่องราวต่อจากนี้ คือ บทความเรื่อง Make Money Online ในคอกเล็ก ๆ ที่ถูกเขียนขึ้นก่อนหน้าไปแล้วนั่นเอง

สำหรับความคืบหน้าของงานชิ้นหนึ่งที่กำลังจะเติบโต คือ ทำหนังสือขายบนแอมะซอน แต่ตอนนี้ผลงานชิ้นนี้มันไปไกลกว่าการขายแค่บนแอมะซอนเสียแล้ว ผมกลายเป็นผู้ผลิต ผู้จำหน่ายเอง บนเว็บไซต์ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย ได้รับรายได้โดยตรง โดยไม่ต้องแบ่ง Revenue Sharing ให้ Maketplace แต่ก็ยังลงขายผ่านแอมะซอนอยู่นะและมีขยายไปตลาดหนังสืออื่นที่เป็น distributor อื่น ๆ ทั่วโลก ไม่ได้ปิดช่องทางการตลาดตัวเอง คือเหตุผลที่พัฒนาจริงจังจนต้องผลิตเอง ขายเองนั้น เพียงเพราะกลัวว่าวันใดวันหนึ่งเกิดโดนแบนปิดบัญชีขึ้นมา ด้วยเหตุอะไรก็ได้ที่เราควบคุมไม่ได้ ซึ่งแอมะซอนเคยทำกับผมในช่วงที่ทำ Affiliate ให้นั่น (สูญเสียรายได้ไปหลายพันเหรียญดอลล่าร์) เราก็ยังมีช่องทางธุรกิจหลักที่ยังสามารถสร้างรายได้แบบธุรกิจยั่งยืนได้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีร้านหนังสือออนไลน์สำหรับขายเป็นเรื่องเป็นราวจริง ๆ จัง ๆ ขนาดนี้ เพื่อให้คนทั่วโลกได้หาซื้อกัน ผลประกอบการอาจยังไม่ได้มากในตอนนี้ อุปสรรคยังมีให้ฝ่าฟัน รอวันฝนจาง จะได้เงยหน้ามองฟ้าที่สว่างสดใสอีกครั้ง เขาว่า.. ท้องฟ้าหลังพายุฝนสงบแล้วนั้นสวยงาม เราจะอยู่กับทุกลมหายใจ เพื่อรอดูมัน..