เทคนิคปรับเพิ่มยอดขายอีเบย์

Photo by cytech

 เทคนิคปรับเพิ่มยอดขายอีเบย์

เทคนิคปรับเพิ่มยอดขายอีเบย์ วันนี้นั่งจัดไฟล์เอกสารของเครื่อง PC เจอไฟล์ eBook เมื่อปี 2007 เป็นบทความเกี่ยวกับ เทคนิคปรับเพิ่มยอดขายอีเบย์ เห็นว่ามีประโยชน์เลย อยากนำมาเผยแพร่ให้หลายๆ คนได้อ่านกัน แต่ผมจำที่มาไม่ได้ว่าได้มาจากไหนแล้ว ยังไงก็ขอบคุณที่เขียนบทความดีๆ เช่นนี้นะครับ ผมเองก็เพิ่งได้อ่านเหมือนกัน ส่วนใหญ่เซฟเก็บๆ ไว้ยังไม่ได้อ่านอีกหลายเล่มเหมือนกัน

เรามาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่า…..

10 เทคนิคปรับเพิ่มยอดขายอีเบย์

  1. ใส่ตัวอักษรใน Title ให้เต็มพิกัด ปกติแล้วตัวอักษรบน Title สำหรับประกาศขายสินค้านั้น ทาง อีเบย์ กำหนดให้ใส่ได้แค่ 55 ตัวเท่านั้น เกินจากนี้จะใส่ไม่ได้อีก เพราะเต็มโควต้า ใครที่ใช้ไม่คุ้มก็เท่ากับว่าเสียของเปล่าๆ ดังนั้นพยายามใส่ตัวอักษรให้มากที่สุด เต็มพิกัด 55 ตัวยิ่งดีครับ ยิ่งมากก็ยิ่งได้เปรียบ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องจ่ายตังค์เพิ่ม เพราะยังไงแล้ว ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ อีเบย์ เก็บจากเรา (ผู้ขายสินค้า) ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเติมให้ครบเสียดีกว่าปล่อยเว้นว่างไว้ อย่าลืมว่ารายการประมูลสินค้าของเรามีโอกาสอยู่บน อีเบย์ ได้มากที่สุดเพียง 10 วันเท่านั้น ตัวอักษรทั้งหลายที่ใส่ไป ควรจะเป็น Keyword ที่นิยมค้นและเกี่ยวเนื่องกับสินค้าของเราให้มากที่สุด อย่าใส่แบบไม่ลืมหูลืมตา หรือไม่เกี่ยวอะไรกับสินค้าของเราเลย (มีคนเข้ามาดู แต่ไม่ซื้อ ก็ไม่มีประโยชน์) คำที่นิยมใส่ไว้ก็จะเป็นส่วนที่บอกว่าของที่เราขายนั้นคืออะไร ? เสื้อ กางเกง สร้อย แหวน กำไล หรือ หนังสือ? อาจจะพ่วงด้วยยี่ห้อสินค้า คนแต่งหนังสือเล่มนั้นที่รู้จักกันดี โมเดลหรือรุ่นที่ผลิต ระบุสี วัสดุที่ทำ น้ำหนักหรือขนาดของสินค้าเข้าไปด้วย (หากมีที่เหลือพอ) ก็จะสื่อให้คนเข้ามาคลิกได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องแน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าที่เราประกาศขายจริงๆ อย่าเป็นลักษณะของการ Spam เพราะการทำเช่นนั้นผิดกฎของ อีเบย์ อย่างแน่นอน นอกจากจะถูกปลดรายการออกยาวเลยแล้ว ยังจะไม่ได้ค่า Fee คืนอีกต่างหาก ประการที่สำคัญและเป็นไปได้คือ ตัดเอาคำเกินที่ไม่สื่อความหมายออกไปเสีย เช่น Wow!, หรือ Look! เพราะจะกินพื้นที่เปล่าๆ และ keyword พวกนี้ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงครับ เนื่องจากไม่เป็นที่นิยมในการใช้ค้นหาสักเท่าใดนัก (ลองนึกดูว่าถ้าเราจะซื้อสินค้าสักชิ้น เราจะพิมพ์คำค้นด้วยวลีเหล่านี้หรือไม่ แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ผล ถ้าหากต้องการเน้นเพื่อให้เกิดการคลิกจริงๆ คงต้องเอาไปปรับใช้เองแล้วแต่สินค้าของท่านครับ) คำค้นดังกล่าวที่เกินดังที่ยกตัวอย่าง เราอาจหันไปใช้กลุ่มคำหรือวลีอันอื่นจะดีกว่าเช่น แทนที่ Wow! ด้วยคำว่า New หรือ Old แทน เพื่อบ่งบอกว่าสินค้าของเราเก่าหรือใหม่ ก็จะสื่อความหมายไปในตัว และยังเป็นคำค้นที่นิยมใช้ด้วย ถ้ายังมีที่ว่างเหลือก็อาจจะใช้คำย่อที่ใช้ในเว็บ อีเบย์ เพิ่มเข้าไปอีกแทนพื้นที่ว่างๆ เช่น เติมอักษร NR (No Reserve) ต่อเข้าไปในส่วนท้าย เพื่อบ่งบอกว่า สินค้าชิ้นนี้ ไม่ได้กั๊กราคาหรือไม่ได้ตั้งราคาสำรองเอาไว้เลย เป็นต้น
  2. เช็คคำสะกดให้ถูกต้อง หลายครั้งที่เราพบว่า Listing ของเราไม่โชว์หรือไม่แสดงผลลัพธ์ในการค้นเลย เป็นไปได้ว่าการสะกดคำใน Title และ Description ของเรานั้น บางทีเพี้ยนหรือสะกดผิดไป อาจจะวางตำแหน่งตัวอักษรผิดที่ ตกหล่นอักษรบางตัว หรือมือเร็วไปหน่อย ทำให้พิมพ์ตกๆหล่นๆ ทางที่ดีก่อนลงประกาศก็เช็คคำสะกดเหล่านี้ให้ถูกต้องด้วยครับ จะได้ไม่เสียค่าธรรมเนียมการลงประกาศขายไปฟรีๆ โดยที่ไม่มีโอกาสให้คนอื่นเข้ามาเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งถ้าสินค้าที่เราลงประกาศขายชิ้นนั้นตั้งราคาประมูลที่ต่ำด้วยแล้ว โอกาสที่จะเจอนักซื้อมือทองที่สบโอกาส คว้ารายการประมูลนั้นไปในราคาที่ต่ำแสนต่ำ ยิ่งเป็นไปได้มาก เพราะพวกนี้จะชำนาญเรื่องการใช้เทคนิคค้นข้อมูลด้วยคำที่สะกดผิด และมองหาสินค้าที่ไม่มีคนเข้ามาดู และชิงประมูลเอาไปในวินาทีสุดท้าย ซึ่งอาจจะทำให้คุณหัวเสียก็เป็นได้ เพราะไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ แต่ถ้าจะวางกับดักแบบหนามยอกเอาหนามบ่งพวกนี้ ก็ตั้งราคาแบบพอมีกำไร หรือล่อด้วยราคาต่ำแต่บวกค่าขนส่งที่มากกว่ารายการประมูลอื่น แบบนี้น่าจะใช้ได้เช่นกัน แต่ระวังว่าอย่าบวกค่าขนส่งที่แพงจนน่าตกใจน่ะครับ เดี๋ยวเข้ามาแล้วจะหายไปเสียดื้อๆ
  3. สร้างเงื่อนไขให้โดนใจ บ่อยครั้งที่ Listing ของเราวางเงื่อนไขที่ดุดัน รุนแรงและวางระเบียบไว้มากเกิน มองในด้านผู้ซื้อ เมื่อเข้ามาแล้ว อ่านดูแล้ว อาจจะฉุนนิดๆก็ได้ ทางที่ดีควรผ่อนเงื่อนไขให้ตรงใจกันทั้งสองฝ่าย อย่าตึงหรือหลวมมากเกินไป การเขียนเพื่อบอกเงื่อนไขแข็งข้อมาก ฝ่ายผู้ซื้ออาจจะหนีไปเสียดื้อๆ แต่ถ้าทำให้เขาพอใจ และรับได้กับบางสิ่งบางอย่างที่เราตั้งกฎเกณฑ์ไว้ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ โบราณกล่าวไว้ว่า คำพูดดีๆไม่ต้องซื้อหา ปากหวานๆหยอดวาจาสวยๆแค่นี้ก็กินใจได้เยอะครับ
  4. ตั้งราคาไม่สูงหรือแพงมากไป บ่อยครั้งที่พบว่าสินค้าเราขายไม่ได้หรือไม่มีคนซื้อหรือมาประมูลเอาเสียเลย อาจเป็นไปได้ว่าไม่มีการวิจัยหรือสำรวจตลาดโดยรวมเสียก่อนว่า ราคาที่อยู่ในตลาดนั้นแค่ไหนกันแน่ และควรจะเริ่มตั้งราคาประมูลที่เท่าไหร่ดี บางครั้งการตั้งไว้สูงจนเกินไป ก็ทำให้โอกาสในการขายของชิ้นนั้นยากมากขึ้นด้วย ทำนองกลับกันการตั้งราคาที่แหวกม่านประเพณี แบบลดกระหน่ำ Summer Sale หรือตั้งไว้ต่ำจนน่าตกใจ เพื่อล่อให้คนมาซื้อหรือประมูลก็ใช่ว่าจะขายได้ไปเสียทุกชิ้น บางรายการอาจจะทำให้คู่แข่งที่ขายสินค้าแนวเดียวกันเข้ามาแกล้งเอาดื้อๆก็ได้ (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า หมั่นไส้!) การขายในราคาประมูลที่ต่ำมาก อาจจะได้ผลดีในระยะแรกๆที่จะทำให้มีคนมาประมูลเยอะขึ้น แต่ในระยะยาวท่านจะต้องทนรับสภาพกับราคาที่ขายต่ำแบบนี้ไปอีกนานครับ เรียกว่าขายยังไงก็ไม่ได้กำไร ดังนั้นการตั้งราคาก็เอาพอให้รับได้ ไม่สูงมากหรือต่ำเกินกว่าที่ควรจะเป็น หลายครั้งการตั้งราคาอาจจะบวกกำไรเอาไว้ราวๆ 100-200% (เผื่อต้นทุนในการลงประกาศขายและค่าธรรมเนียมอื่นๆ) แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ไม่มีคู่แข่งด้วยแล้ว จากประสบการณ์มากสุดที่เคยทำคือประมาณ 600% ก็ยังพอขายได้ครับ สำหรับสินค้าที่โดนใจจริงๆ คำแนะนำข้อนี้อาจจะไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวแต่เดินอยู่ในทางสายกลางน่าจะดีที่สุด
  5. ใส่รูปประกอบคำอธิบาย คำพูดล้านคำไม่เท่ากับใช้ภาพเพียง 1 ภาพ มาอธิบาย วิธีการเหล่านี้ยังเอามาใช้ได้บน อีเบย์ นะครับ โดยเฉพาะกับ eBay Listing ของเรา ควรอย่างยิ่งเลยครับ ใส่ภาพประกอบไปเสียหน่อยจะทำให้ง่ายในการอธิบายด้วยคำพูดยาวๆได้ดีมาก ภาพที่ใช้ก็ควรจะเป็นภาพที่เด่น ชัดเจนและตรงกับคำอธิบายพอสมควร ผู้ขายรายใดมี Hosting ให้เลือกใช้ ถ้าเป็นไปได้ใส่สัก 2-3 รูปก็ไม่เลว ทั้งภาพด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลังของตัวสินค้า ภาพที่เลือกใช้ไม่จำเป็นต้องใหญ่โตเท่าฝาบ้าน เอาพอให้เห็นตำหนิ รูปพรรณหรือแบบของสินค้าอย่างคร่าวๆก็จะดีกว่าภาพใหญ่ๆแต่ไม่ได้เน้นรายละเอียดอะไรเลย ในการลงประกาศขายสินค้าของ อีเบย์ จะมีให้เลือกออพชั่นการแสดงผลแบบ Gallery ด้วย ถ้าเป็นสินค้าที่มีคู่แข่งมากในตลาด และอยากให้คนเข้ามาคลิกดูรายการของท่านบ้าง ควรเสียเงินเพิ่มอีก $0.35 สำหรับแสดงผลแบบ Gallery ด้วยครับ อย่างน้อยก็ทำให้เปอร์เซ็นต์ในการคลิกประกาศของเรา มีสูงกว่ามาก
  6. ปรับ Listing ให้สวย สะดุดตา หลายครั้งที่หน้าประกาศขายสินค้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้ากล้าตัดสินใจซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาแพง เครื่องประดับหรือสินค้าทั่วไป การปรับแต่ง Listing ให้สวย โดนใจและเข้ากับกลุ่มลูกค้าก็จะทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อหรือประมูลง่ายขึ้นนั่นเอง เช่น ขายสินค้าผู้หญิงก็เน้นโทนสีออกชมพูหวาน หรือมีลูกเล่นเล็กน้อย ขายสินค้าผู้ชายก็เน้นโทนสีของ Listing ออกเข้ม ดุดันออกแนวสีน้ำตาล ดำหรือสีที่แสดงให้ถึงความเข้มแข็ง หนักแน่น เป็นต้น การเลือกใช้ Template ที่ อีเบย์ มีให้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้การสร้าง Listing ง่ายมากขึ้น แต่ถ้าหากจะต้องเขียนเองหรือยุ่งยากอาจไหว้วานคนรู้จักให้ทำต้นแบบไว้สักแบบสองแบบ แล้วนำมาใช้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้วุ่นวายอะไรมากนัก ลองดูเถอะครับแล้วจะรู้ว่าการทำให้ประกาศดูน่าเชื่อถือและแสดงถึงความเป็นมืออาชีพด้วยแล้ว ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
  7. ใส่ Link เชื่อมโยงไปดูหน้าสินค้าอื่น เมื่อลูกค้าเข้ามาดูประกาศหรือ Listing นั้นแล้ว บางครั้งอาจไม่ใช่สินค้าที่เขาต้องการ ดังนั้น อีเบย์ จึงอนุญาตให้เราสร้าง Link เพื่อเชื่อมโยงไปยังหน้าสินค้าอื่นที่เราขายบน อีเบย์ อีกได้ เช่น รายการที่ขายอยู่ในขณะนั้น หรือ eBay Store ที่เปิดเอาไว้ หากไม่สันทัดในเรื่องการสร้าง Link ก็เลือกใช้บริการของ Third Party หรือผู้ให้บริการจากข้างนอก (เช่น Auctiva หรือ Vendio) ซึ่งจะดึงเอาสินค้าที่มีอยู่ของเรามาต่อท้ายเป็น Gallery Listing เพื่อดึงดูดให้คลิกดูรายการสินค้าอื่น ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายและโอกาสให้คนเห็นมากขึ้นเช่นกัน
  8. เลือกเวลาลงรายการให้เหมาะสม บางครั้งการเลือกลงเวลาให้จบการประมูลก็เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ในการลง Listing พยายามให้จบประการประมูลในช่วงหัวค่ำ จะดีกว่าให้จบการประมูลในช่วงที่คนส่วนใหญ่นั่งทำงานหรือไม่ได้มีเวลาจะมานั่งหน้าจอกันนานๆ เวลาที่ผู้ขายนิยมมากสุดก็คือช่วง 7pm-11pm ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะพิจารณาปัจจัยและเหตุผลอื่นๆประกอบด้วยครับ ว่าสินค้าของเรานั้นเน้น Target กลุ่มไหน แม่บ้าน นักเรียน คนทำงาน อาจจะไม่ต้องจบประมูลในช่วงเวลาเหล่านี้เสมอไป การเลือกลงเวลาจบประมูลให้เหมาะสม ไม่ได้มีผลแค่ให้คนเข้ามาหา Listing ของเราง่ายขึ้น (ค้นตามเวลาใกล้จบประมูล) เท่านั้น รายการสินค้าที่หายาก ของที่มีอยู่ชิ้นเดียวในโลกหรืออยู่ในกระแสและมีความต้องการสูงมากในเวลาใดเวลาหนึ่ง ย่อมเกิดการแย่งประมูลสินค้าชิ้นนั้นมากขึ้น ส่งผลให้ราคาการจบประมูลก็สูงมากเช่นกัน คนขายอย่างเราๆก็คง Happy ไม่ใช่น้อย ลองดูน่ะครับ ปรับเวลาให้เหมาะสม เลือกเอาว่าเวลาไหนดี ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่นเสมอไป
  9. ตั้งค่าขนส่งแบบสมน้ำสมเนื้อ อธิบายชัดเจน การขายสินค้าบน อีเบย์ อย่างหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้คือ การแจ้งราคาค่าขนส่งให้ลูกค้าทราบเสียแต่เนิ่นๆ ก็จะเป็นการดี โดยเฉพาะการส่งสินค้าจากไทยไปยังปลายทางต่างประเทศแล้ว ย่อมมีอัตราค่าขนส่งที่ไม่เท่ากัน ควรบ่งบอกด้วยว่าปลายทางที่ส่งไปนั้น แต่ละแห่ง แต่ละ Zone คิดค่าธรรมเนียมอย่างไรบ้าง ส่งด่วน ส่งเร็วคิดค่าบริการกี่เท่า มีประกันด้วยหรือไม่ สิ่งต่างๆเหล่านี้ควรมีบอกไว้อย่างชัดเจน นอกจากจะไม่ต้องคอยตอบคำถามแบบซ้ำซากแล้ว ยังทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อหรือประมูลง่ายขึ้นเช่นกัน สำหรับวิธีการคิดค่าขนส่งนั้นควรบวกต้นทุนต่างๆรวมเข้าไว้ด้วย เช่น ค่ากล่อง หีบห่อ พัสดุหุ้ม เทปกาว ค่าน้ำมันรถ (จากบ้านไปที่ไปรษณีย์) เชือกมัด ป้ายชื่อ หมึกพิมพ์ ค่าแรงงาน สิ่งต่างๆเหล่านี้ควรรวมอยู่ในต้นทุนค่าขนส่งทั้งหมด ประการสำคัญคือ อย่าตั้งมากไปจนคนซื้อปฏิเสธไปเสียดื้อๆ ให้ดูจากคู่แข่งหรือตลาดโดยรวมว่าอยู่ในเกณฑ์ระดับใดจะดีที่สุด
  10. ตอบคำถามให้ไว ทันใจผู้ซื้อ บางครั้งเมื่อลูกค้าเห็นรายการประกาศสินค้าของเราแล้ว อาจจะยังไม่มีการตัดสินใจซื้อ ณ เวลานั้น เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ แน่นอนว่า การส่งคำถามจากผู้ซื้อเข้ามาหาเรา (ผ่านระบบ Ask Seller Question) ย่อมเป็นสัญญาณบอกเราได้อย่างดีว่า สินค้าชั้นนั้นน่าจะมีโอกาสขายได้บ้าง (อย่างน้อยก็ยังสนใจบ้าง!) วิธีที่แนะนำคือ ตอบคำถามให้ไวและตรงประเด็นเอาไว้ก่อน พร้อมทั้งโน้มน้าวให้ตัดสินใจซื้อมากขึ้น ซึ่งหลายๆครั้งพบว่า การตอบคำถามชัดเจนและแจ้งให้ทราบก่อนจบประมูลก็ช่วยเร่งรัดการตัดสินใจของลูกค้าได้มากขึ้นเช่นกัน

หวังว่า เทคนิคปรับเพิ่มยอดขายอีเบย์ สามารถช่วยให้ผู้ที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าบนตลาดอีเบย์ ให้มียอดขายที่เพิ่มมากขึ้นไม่มากก็น้อยได้นะครับ ผมเองก็จะลองนำไปปรับใช้เช่นกัน ช่วงนี้ห่าง ๆ จากการขายของบนอีเบย์ ว่าจะกลับไปโปรโมตสินค้า เพื่อดึงลูกค้ามาซื้อสินค้าในเว็บหลักอยู่เหมือนกัน สำหรับปีใหม่ไทยนี้ ขอให้ทุกท่านสมหวังสมปรารถนาประสบความสำเร็จในทุกสิ่งอย่างที่ตั้งหวังไว้นะครับ สวัสดีปีใหม่ไทยครับ