**เพื่อความสนุกในการอ่าน ภาพทุกภาพสามารถคลิกดูภาพใหญ่ได้ครับ**

passpostวันที่ 25 มกราคม 57

ณ เวลาตีสองครึ่ง (02.30 น.) นาฬิกาปลุก….เริ่มทำงานตามกลไกของมันตามปกติ แต่ผมยังไม่พร้อมจะตื่นนอนในเวลานี้ พยายามฝืนตัวเองให้ตื่น เรียกสติกลับมาให้ได้มากที่สุด สุดท้ายตื่นขึ้นมาแบบมึนๆ มีอาการปวดหัวเล็กน้อย ปนกับอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น เมื่อคืนก็เข้านอนเร็วกว่าปกตินิดหน่อยแล้วนะ ประมาณสามทุ่มครึ่ง (21.30 น.) แต่อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของเหล้า 1 แบนเต็ม ที่นั่งกินคนเดียวเมื่อคืนก็เป็นได้ นั่งทำใจอยู่ขอบที่นอนซักพัก ถอนหายใจ 1 เฮือกใหญ่ ก่อนจะลุกไปทำภาระกิจส่วนตัว เสร็จสรรพแล้ว ก็หยิบกระเป๋าเป้เดินทางใบโปรดขึ้นสะพายหลังทันที และไม่ลืมที่จะคว้ากล้องถ่ายภาพคู่ใจ Nikon D90 พร้อมเลนส์ 18-200mm เลนส์เอนกประสงค์ที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้มาด้วยแทบจะในทันทีเช่นกัน เพื่อมุ่งหน้าไปสนามบินดอนเมือง ตอนนี้เวลาตีสามกว่าแล้ว บริษัททัวร์ฯ ที่ผมจองไว้นัดเจอกันบริเวณประตู 6 ขาออก เวลาตีสี่….!!! ณ จุดนี้ผมยืนอยู่กลางถนนในคอนโดเมืองทองคนเดียวไร้ผู้คนและเงียบสงัด เพื่อรอแท็กซี่สักคันหลงเข้ามารับ ชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือ อีก 14 นาทีจะตี 4 ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก จะทันมั๊ย?

แท็กซี่กำลังเลี้ยววนขึ้นชั้น 2 อาคารระหว่างประเทศของท่าอากาศยานดอนเมือง ถึงแล้วๆ ผมได้แต่พร่ำอยู่ในใจ เมื่อแท็กซี่จอดสนิท ผมรีบเดินพุ่งเข้าประตู 6 ทันที เรียกว่าวิ่งเลยดีกว่า เพราะนี่ก็เวลา 4.20 น. แล้ว พอเดินเข้าประตูมาก็เจอหน้าเคาน์เตอร์เช็คอินของบริษัทสายการบิน นกแอร์ เลย ใช่แล้วครับ… เรากำลังจะบินไปพม่าด้วยสายการบินนกแอร์ในทริปนี้ ผู้ร่วมทริปไปพม่า 4 คืน 5 วัน กรุ๊ปนี้มากันเกือบครบแล้ว และเริ่มทะยอยเช็คอินเข้าไปข้างในกันบ้างแล้ว ผมรีบรับเอกสารและ Passport จากหัวหน้าทัวร์ (คุณซุป) แล้วตามกรุ๊ปทัวร์ผมเข้าไปนั่งรอเครื่องออกตอนเวลา 6.20 น.

leaderถึงแล้วย่างกุ้ง กุ้งเผา จะมีน้ำจิ้มแซ่บๆ แบบไทยไหม… เฮ้ย!! ตื่นๆ สมองสั่งการปลุกผมตื่นโดยอัตโนมัติ ขณะเครื่องบินกำลัง Taxi เข้าจอดที่สนามบินย่างกุ้ง มองนาฬิกาตอนนี้เวลา 07.28 น. การเดินทางจากกรุงเทพฯใช้เวลาบินถึงย่างกุ้ง ประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที สภาพอากาศที่ย่างกุ้งเช้าวันนี้ อากาศแจ่มใส เย็นสบายดี 19 องศาเซลเซียล บรื้อออ…. ผ่าน ตอมอ ออกมาก็เจอ พี่ไกด์พม่าเลย (ชื่อพม่าเรียกยากมาก แต่เสียงพ้องไทยมีคำว่า “แสง” ไรงี้ เขาเลยให้เรียกว่า “แสง” ครับ) พี่ไกด์มารอรับพวกเราแต่เช้าแล้ว เมื่อพวกเราขึ้นรถบัสที่จัดเตรียมไว้ครบคนแล้ว ทุกอย่างพร้อม คนพร้อม ใจพร้อม ก็ออกตะลุยพม่ากันเลยในทันที… หลังจากขึ้นรถบัสมาได้สักพัก หัวหน้าทัวร์ไทยและพี่ไกด์พม่า ก็เริ่มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการพอเป็นพิธีกันไป หลังจากนั้นพี่ไกด์แสง ก็เริ่มสาธยายความเป็นพม่า ประเทศพม่า ประวัติพม่า เมียพม่า พระพม่า และ พม่า พม่า พม่า เออ… คือ…. ก็เรามาเที่ยวพม่านี่นา ก็ต้องพูดเรื่องราวเกี่ยวกับพม่าสินะ ถูกแล้ว ฮ่าฮ่า ผมอาจจะยังไม่สางเมาก็เป็นได้ ก็นั่งฟังกันไปสินะ บลา บลา บลา

Kyaik Pun Pagodaวันแรกของการท่องเที่ยวพม่าในทริปนี้ ตามโปรแกรมทัวร์ คืนนี้พวกเราต้องไปนอนกันบนพระธาตุอินทร์แขวนครับ พี่ไกด์แสงก็เริ่มพาพวกเรามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหงสาวดี หรือ ที่ชาวพม่าเรียกกันว่า เมืองพะโค (Bago) ทันที และแวะเก็บสถานที่ท่องเที่ยวตามจุดต่างๆ ซึ่งเป็นทางผ่านที่จะไปเมืองไจ๊ก์โถ เพื่อเดินทางขึ้นพระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ๊ก์ทิโย (Kyaik Ti Yo) ต่อไป… สถานที่แรกที่พวกเราได้ถอดถุงเท้า รองเท้า ลงไปเหยียบย้ำแผ่นดินพม่า แบบขี้ดินติดซอกเล็บกันเลย คือ เจดีย์ไจ๊ก์ปุ่น (Kyaik Pun Pagoda) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “พระนั่งสี่ทิศ” (สถานที่ส่วนใหญ่ในประเทศพม่า คนไทยมักจะตั้งชื่อเรียกขึ้นมาเอง เพื่อง่ายต่อการจดจำ โดยส่วนตัวผมว่านะ เหตุเพราะชื่อและการออกเสียงแบบพม่า ยากเกินไปและจดจำยาก) พี่ไกด์เล่าให้ฟังว่า รูปปั้นทั้งสี่ทิศ คือ ตัวแทนของ 4 สาวชาวมอญที่สาบานกันว่าจะไม่มีสามี เหตุเพราะศรัทธาในพุทธศาสนามาก แต่น้องสาวคนสุดท้องดันผิดสัจจะแต่งงานซะ เลยทำให้ฟ้าผ่าองค์น้องพังลงมา แต่ก็ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง องค์ที่จมูกโด่งที่สุดน่ะนะครับ องค์นั่นเลยน้องสาวคนเล็ก (ในภาพคือองค์ด้านซ้ายมือผมครับ) ก้อสวยนินา จมูกโด่งเชียว เลยมีหนุ่มๆ มาขอ อิอิ **ที่นี้มีเก็บค่ากล้อง 300 จั๊ตครับ**
(**ขยายความกันนิด… วัดส่วนใหญ่ในเมืองหงสาฯ จะมีการเก็บค่ากล้องถ่ายภาพด้วยนะครับ มือถงมือถือโดนหมด 300 – 500 จั๊ต ประมาณนี้ โดนกันไป!! จ่ายแล้วเขาจะให้ภาพใบเล็กเล๊กกกเป็นภาพสัญลักษณ์วัดนั้นๆ มาติดที่กระเป๋ากล้องครับ ให้รู้ว่าจ่ายแล้ว PAID**)

ShweThaLyaung-Frontหลังจากเท้าเปื้อนดิน และเลอะน้ำหมากของชาวพม่ากันมาแล้ว พี่ไกด์แสงก็พาพวกเรามาชมกันต่อที่วัดพระนอนชเวตาเลียง (Shwe Tha Lyaung Buddha Image) หรือ พระนอนยิ้มหวาน (พี่ไทยเราเรียกกันแบบนั้น) สักการะบูชา, ไหว้พระ, ทำบุญ, ฟังพี่ไกด์แสงเล่าประวัติความเป็นมาของวัด, เดินเล่น, ถ่ายภาพกันตามอัธยาศัย (มีค่ากล้อง 300 จั๊ต) ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วครับ แต่ก่อนจะข้ามไปจุดอื่น ณ จุดนี้ ที่วัดนี้ ผมมีเรื่องบางอย่างจะขยายความเล็กน้อย ที่วัดแห่งนี้ จะมีน้องๆ เด็กๆ มายืนขายโปสการ์ด พัดหอม เหรียญเก่าพม่า (ปัจจุบันพม่าเลิกใช้เหรียญไปแล้วนะครับ) ซึ่งน่ารักมาก พูดไทยได้บ้างครับ แนะนำว่าให้ซื้อครับ ไม่ว่าจะเหรียญเก่า (หากชอบสะสมนะครับ) และก็โปสการ์ดต่างๆ สวยดีครับ ผมซื้อนะ ต้องขอบอกแบบออกตัวก่อนเลย แต่….???  เรื่องมันเป็นอย่างงี้ครับ ใครซื้อก่อนเป็นครู เป็นยังไง คืองี้ครับ ผมเดินออกมาจากวัดก่อน เพื่อจะไปห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านหลัง เอาว่าจะไปห้องน้ำแล้วกัน น้องๆ กลุ่มนี้เขาก็มายืนออกันอยู่ที่หน้ารถบัสของพวกเรา เพื่อรอขายเหรียญบ้าง พัดหอมบ้างและโปสการ์ด ผมเองก็หยิบๆ โปสการ์ดขึ้นมาดู เฮ้ย!!… สวยอ่ะ เอาๆ อยากได้ มีตั้ง 20 รูปแหน่ะ ถามราคาไป ได้คำตอบว่า 100 บาทไทย ต่อราคาเลยครับอย่างเร็ว 80 ได้ไหม เด็กๆ มีอาการงอแงบ้างเล็กน้อยครับ เลยถามซ้ำ 60 ได้ไหม (เอาสิ๊…. (เสียงสูงมาก) นึกในใจ จิขายมั๊ย ไม่ขายไม่เอาน๊าาาาา) ตกลงขายครับ ได้มาราคา 80 บาท ถูกนะ ตกใบละ 4 บาทเอง โปสการ์ดเมืองไทยใบละ 10 บาท แพงกว่ามาก ซื้อเสร็จ ผมก็เดินไปเข้าห้องน้ำ กลับมาที่รถบัสอีกครั้ง พี่ไกด์แสงชาวพม่าของเรา ก็กำลังช่วยน้องๆ กลุ่มนั้น ขายเหรียญบ้าง พัดหอมบ้าง รวมถึงโปสการ์ด ซึ่งผมกลับมาขึ้นรถทันจังหวะที่พี่ไกด์แสงกำลังตะโกนเสนอราคาโปสการด์ พอดิบพอดี “โปรการ์ดพะม่ามี 20 แพ่น 40 บาท ใครเอาบ้าง!!”  ห๊าาาาา…. 40 บาท เมื่อกี้ตะรูซื้อมา 80 นะ ผมก็ตะโกนย้อนบอกไปตามนั้นทันที ฮ่าฮ่า ฮากันทั้งคนในรถ รวมถึงน้องๆ เด็กๆ ที่ยืนขายกันอยู่เลยทีเดียว นี่แหล่ะที่มาของคำว่า “ซื้อก่อนเป็นครู” โดนตั้งแต่วันแรกเลยครับ แต่ส่วนตัวผมแล้ว รู้สึกสนุกดี จนใบหน้าเปื้อนยิ้มไปซักพักเลยนะครับ นานๆ จะรู้สึกแบบนี้สักครั้ง ไม่ได้ซีเรียสอะไร อีกอย่างชอบความแก่แดดแก่ลมของเด็กๆ ชาวพม่ากลุ่มนี้ด้วยครับ ผมว่าโปสการ์ดเมืองไทยแพงกว่านะ หากมองด้านราคานะครับ เพราะคุณภาพพอๆกัน แอบโกรธคนไทยมากกว่าที่ขายแพงตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่า เชียงคาน ปาย เชียงใหม่ แพงจริง 20 บาทต่อใบ ไม่อยากบ่นเลยนะเนี๊ย… Thailand Only!!

ShweThaLyaung

หลังจากพูดคุยสนุกสนานกันบนรถสักพัก พี่ซุปหัวหน้าทัวร์ก็พาพวกเราไปทานอาหารกลางวันกันที่ Central Restaurant ซึ่งเป็นบ้านไม้สักโบราณอายุหลายร้อยปี ออกแบบอาคารผสมผสานกับปูนคอนกรีต (คอ-นก-รีต) เอามาทำเป็นร้านอาหารไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ และบรรดาชนชั้นสูงของชาวพม่าได้อย่างลงตัวครับ ไอเดียเจ๋งดี เสียดายไม่ได้ถ่ายภาพเก็บไว้ครับ แต่จะว่าไปแล้ว ผมว่าอาคารไม้ผสมปูนปั้นหรือบ้านไม้ของบ้านเราแบบไทยๆ สร้างประณีตและสวยงามกว่าเยอะครับ อาหารมื้อแรกในพม่า ไม่ได้ถ่ายภาพมาเช่นกันครับ ยังเกร็งๆ และเกรงใจผู้ร่วมโต๊ะในการทานอาหารอยู่ครับ สำหรับกับข้าว 8 อย่างเท่าที่ผมนึกได้มี ไข่เจียว, กุ้งแม่น้ำเผาคนละ 1 ตัว, ต้มยำน้ำใส, น้ำพริกแห้งกุ้งแบบพม่า, ผัดผักรวมน้ำมันหอย, ทอดมันปลา, ข้าวเกรียบถั่วบด และก็…. น่าจะผัดเปรี้ยวหวานอะไรสักอย่าง ขอเลือกที่จะไม่ทาน เพราะเป็นคนไม่ชอบผัดเปรี้ยวหวานครับ ประมาณนี้ๆ กับข้าวอย่างไหนหมดก็จะมีพนักงานเสริฟ์เติมให้ตลอดๆ ขอเติมได้เลยครับ แต่ส่วนใหญ่ก็เติมข้าวกันครับ เพราะกับข้าวเยอะจริงๆ 1 โต๊ะ 4 คน กับข้าว 8 อย่าง!!

KanbawzaThardiPalaceหลังจากอิ่มหน่ำกับอาหารกลางวันแล้ว พี่ไกด์แสงก็พาพวกเราไปชมพระราชวังกัมโพชาธานี (Kanbawza Thardi Palace) หรือ พระราชวังบุเรงนอง ต่อกันเลย ซึ่งพระราชวังแห่งนี้ได้สร้างขึ้นมาใหม่จากจินตนาการของใครสักคน (ผมฟังตามไม่ทันครับ) ซึ่งหาได้ใช่พระราชวังของเดิมๆ ไม่ เพราะของเดิมถูกเผาจนสิ้นไปหมดแล้วเหลือไว้ก็แต่เสาไม้สักทองของพระราชวังเดิมต้นใหญ่ๆ ที่อยู่ลึกในดินที่ไฟไปไม่ถึงให้ดูต่างหน้ากันเท่านั้น ขุดพบเจอเมื่อไม่นานมานี้เองครับ และยังมีอีกเยอะ ยังขุดขึ้นมาไม่หมดอีกด้วยนะ

KanbawzaPalace

ShweMawdawPagodaหลังจากนั้นพวกเราก็รีบเดินทางไป 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของประเทศพม่าที่คณะเรารอคอย นั่นคือ เจดีย์ชเวมอว์ดอว์ (Shwe Mawdaw Pagoda) หรือ พระธาตุมุเตา (มีค่ากล้อง 500 จั๊ต) ณ สถานที่แห่งนี้ บนยอดเจดีย์ของพระธาตุมุเตาได้บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้าไว้ 2 เส้นครับ ยอดพระธาตุมุเตาของเดิมเคยเกิดความเสียหายจากแผ่นดินไหวครับ ทางการพม่าจึงบูรณะสร้างยอดเจดีย์ขึ้นมาใหม่ และส่วนยอดเจดีย์ที่หักล้มลงมาก็เลยกลายเป็นจุดที่ใช้ในการสักการะบูชากราบไหว้ขอพรอธิษฐานกันไปเลย หลังจากจุดธูปไหว้ (เหลือไว้ 1 ก้านนะครับ) และถวายดอกไม้กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วิธีการอธิษฐานขอพร  ก็ให้เราเอามือและหน้าผากแตะลงบนยอดพระธาตุที่หักนั้นแล้วก็อธิษฐานครับ เสร็จแล้วเอาธูปที่เราเก็บไว้ 1 ก้าน มาค้ำยันพระธาตุไว้ครับ ชีวิตจะได้มั่นคง เจริญก้าวหน้า รุ่งเรือง อะไรทำนองนั้นตามความเชื่อทางพุทธศาสนาครับ

คณะเดินทางของพวกเราออกมาจากพระธาตุมุเตาเวลาบ่ายกว่าๆ จึงทำให้ต้องรีบเร่งกันสักหน่อยครับ พี่ซุปหัวหน้าทัวร์คณะเรากลัวว่าขึ้นไปพระธาตุอินทร์แขวนแล้วจะถึงเย็นเกินไป มืดค่ำลงจะอันตราย เพราะพวกเราต้องใช้เวลาเดินทางโดยรถบัสไปอีก 2-3 ชั่วโมง แล้วยังต้องไปต่อรถขนทรายก่อสร้างหรือรถบรรทุกเล็กแบบบ้านเรานะครับ (คนไทยบางกลุ่มเรียก “รถขนหมู”) เพื่อขึ้นไปพระธาตุอินทร์แขวนอีกที ใช้เวลานานอยู่เหมือนกันครับ เกือบชั่วโมงนึง ระหว่างการเดินทางเส้นทางที่จะไปเมืองไจ๊ก์โถ จะมีจุดพักรถบัส ให้พวกเราได้เข้าห้องน้ำ นั่งกินอาหารว่างกันครับ และเป็นจุดที่จะให้นักท่องเที่ยวยังเราๆ เปลี่ยนกระเป๋าเดินทางด้วยครับ เพราะบางคน เอ… เพราะทุกคนสินะ (ยกเว้น… ผม) มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ กันทั้งนั้นเลยครับ ซึ่งจะไม่สะดวกต่อการนำขึ้นพระธาตุอินทร์แขวน ก็เปลี่ยนมาใส่กระเป๋าถือใบใหญ่พอประมาณ (เอาเป้ผมใส่กระเป๋านี้ยังได้เลยอ่ะครับ) ที่บริษัททัวร์แจกให้ก่อนหน้านี้ที่สนามบินดอนเมืองครับ ส่วนผมมีเป้ใบเดียวเที่ยวทั่วโลกอยู่แล้วเลยสบายไป จริงๆ ก้ออายๆ นะครับ เห็นคนอื่นจัดเต็มกันมา เสื้อผ้าหลายๆ ชุด ของใช้อะไรเต็มไปหมด ส่วนผมทริป 5 วัน ก็เสื้อ 5 ตัว (รวมที่ใส่อยู่ กะกางเกงยีนต์ตัวเดียว) ชุดนอน 1 ชุด (เสื้อกล้ามและกางเกงผ้าร่มบางเบา) ผมเดินทางแบ็คแพ็คเกอร์คนเดียวเสมอๆ ก็ไม่รู้และไม่เคยใส่ใจชาวบ้านชาวโลกเขาเท่าไหร่หรอกครับว่าเขาจะขนอะไรกันเวลาเดินทางไปต่างประเทศกันบ้าง สำหรับตัวผมเองนะ เอาไปแค่นั้นก็พอแล้ว จริงๆ เหลือพอด้วยครับ ผมมักใช้ชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ ทุกอย่างในชีวิตเลยดูง่ายๆ ไปซะหน่อย ไม่ต้องการอะไรเยอะครับ แต่ที่อายๆ เพราะเกรงใจผู้ร่วมทริป กลัวว่าบางท่านอาจจะรับไม่ได้ ที่เราดูลุยๆ ไปรึป่าว? หรือ ซกมกไปนิดอะไรทำนองนั้น ใส่กางเกงตัวเดียว 5 วันแบบนี้ (จริงๆ ปกติผมใส่ 2 อาทิตย์นะ เกงยีนต์หน่ะ) จากจุดพักตรงนี้ใช้เวลาเดินทางต่อไปอีกไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็จะถึงจุดเปลี่ยนรถ เพื่อขึ้นพระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ๊ก์ทิโย (Kyaiktiyo) แล้วครับ

F1_KyaiKhiyoรถขนหมูที่คณะทัวร์เราเหมาขึ้นมานั้น กำลังเร่งเครื่องไต่ระดับขึ้นเขา ซึ่งมีค่าความชันและมีค่าความเอียงราวๆ 30 – 45 องศา ด้วยความเร็ว 50 – 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร็วนรกเลยครับ พร้อมกับเข้าโค้งหักศอกทุกโค้งที่ซึ่งในทุกๆ การเลี้ยวโค้ง ไม่มีแม้แต่การชะลอเครื่องยนต์ให้เบาลงบ้างเลย มีบ้างบางจังหวะที่เปลี่ยนเกียร์แล้วเหยียบส่งต่อเลย บรื้นนนน บรื้นนนน บรื้นนนน….. อืม… สนุกดีแฮะ คนขับเก่งว่ะ (ผมได้แต่คิดในใจ) ใบหน้าอมยิ้มตลอดทุกๆ โค้ง พร้อมใบหน้าที่เชิดมองท้องฟ้าโดยอัตโนมัติ แต่ก็ไม่วายนั่งเกร็งมือจับราวเหล็กจนปวดแขนเลย อากาศดีตลอดเส้นทางขึ้นเขา และอุณหภูมิเริ่มลดลงจนรู้สึกได้ ลมที่ปะทะหน้าและตัวเริ่มเย็นขึ้นทุกขณะ เวลาเกือบ 40 นาที อันแสนสนุกของพวกเราจบลงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว อ้าว… ถึงแล้ว ยังสนุกไม่สุดเลย….

Kyaik Hto Hotelตอนนี้เวลา 16.45 น. โดยประมาณ พวกเรายืนรวมพลรอกุญแจห้องพักอยู่ลานหน้าล๊อบบี้ของโรงแรมไจ๊ก์โถ (Kyaik Hto Hotel) เพื่อจะได้เก็บสัมภาระเข้าห้องและทำกิจส่วนตัวเล็กน้อยกันก่อนแล้วออกมาเจอกันตอนห้าโมงเย็นอีกครั้ง เพื่อเดินขึ้นไปสักการะพระธาตุอินทร์แขวนพร้อมกันเป็นหมู่คณะ 1 รอบ และกลับมาโรงแรมเพื่อทานอาหารเย็นกันตอน 18.00 น. พระธาตุอินทร์แขวนเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของประเทศพม่าเช่นกัน วันนี้เราไปมหาบูชาสถานที่สำคัญของประเทศพม่ามา 2 ที่แล้ว ยังเหลืออีก 3 ที่ครับ สำหรับมื้อเย็น ก็ทานที่โรงแรม อาหารที่โรงแรมจัดให้เป็นแบบบุฟเฟต์นานาชาติครับ อร่อยทุกอย่างและผมก็กินทุกอย่างเหมือนกัน อย่างละนิดละหน่อย มีกุ้งเผาตัวเท่าฝ่ามือด้วยครับ กินเสร็จ จุก!!

มีเรื่องเล่าขานต่อๆ กันมาว่า การมาไหว้สักการะพระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ๊ก์ทิโย (Kyaik Ti Yo) นั้นควรมา 3 ครั้งสิ่งที่ปรารถนาจะบรรลุผล ผมก็ง่ายๆ เลยครับ คือ เดินขึ้น-ลง เพื่อทำการสักการะบูชาเลย 3 ครั้ง โดยครั้งแรกคือตอนห้าโมงเย็นที่ขึ้นไปพร้อมคณะทัวร์ ครั้งที่สอง หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จก็ขึ้นไปไหว้อีกรอบ รอบที่สามตื่นตีห้า เดินขึ้นไปอีกรอบ ครบแล้วครับ 3 รอบ ตามความเชื่อที่ว่ากันมา เพื่อสิ่งที่ขอไว้จะได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี อีกอย่างคือ ทุกคนที่บ้านผมฝากแผ่นทองมาติดองค์ไจ๊ก์ทิโยด้วย ดังนั้น คำอธิษฐานของคนในครอบครัวผมก็จะได้สำเร็จทันตาเห็นด้วยเลยครับ สาธุ…

Kyaikhtiyo
ก่อนนอนคืนนี้ก็ไม่พลาดที่จะลองดื่มเบียร์พม่าสักหน่อย

Myanmar_Beer

อืม…. แล้วเจอกันเช้าพรุ่งนี้ ฝันดีครับ ราตรีสวัสดิ์ zzZZ >> ทริปพม่า วันที่ 2