บทความนี้ ผมจากมาได้เว็บของท่าน ว.วชิรเมธี ครับ เลยอยากนำมาเผยแพร่ต่อให้คนอื่นๆ ได้อ่านกัน
หลวงปู่อานันทไมตรี พระภิกษุนักปราชญ์คนสำคัญคนหนึ่งของศรีลังกา ได้เขียนเรื่องสั้นเอาไว้เรื่องหนึ่ง ชื่อ “หากพระพุทธเจ้าเสด็จมาในวันนี้ จะมีอะไรเกิดขึ้น” เนื้อเรื่องที่ท่านเขียนนั้น อิงอยู่กับเหตุการณ์บ้านเมืองของศรีลังกาในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมือง ซึ่งผู้คนแบ่งเป็นฝักฝ่าย จนต่างก็ตกอยู่ในภาวะ “มองคน ไม่เห็นว่าเป็นคน” หากแต่เห็นเพียงสีเสื้อหรือ “ฝักฝ่าย” ที่คนสังกัดอยู่ ผลก็คือ คนในชาติเดียวกัน ต้องลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากัน ลอง มาอ่านกันดูหน่อยว่า โรคเห็นคนไม่ใช่คนนั้น หากกำเริบขึ้นมาแล้ว จะทำให้หูตาแห่งสติปัญญาฝ้าฟางได้มากเพียงใด


“พระภิกษุธรรมดาๆ รูปหนึ่ง เดินจาริกไปเรื่อยๆ ไปบนท้องถนน ไม่มีใครรู้ว่าพระรูปนั้นคือพระพุทธเจ้า พระองค์เสด็จมาถึงวัดแห่งหนึ่ง พระในวัดกำลังสนทนากับทายกเรื่องการเมือง

เมื่อ พระเหล่านั้นและทายกเห็นพระพุทธองค์ก็ถามว่า “ท่านสังกัดพรรคใด”

พระ พุทธเจ้าตรัสตอบว่า “เรามิได้สังกัดพรรคใด”

พระ สงฆ์เหล่านั้นและทายกคิดว่า น่าจะเป็นพระของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม จึงมิได้ให้ความนับถือ กล่าวว่า “เราไม่มีสถานที่ให้ท่านพักค้าง”

พระ พุทธเจ้าทรงสดับดังนั้น ก็เสด็จจากวัดนั้นไปยังวัดอื่น ที่วัดใหม่นี้ยิ่งมีการสนทนาเกี่ยวกับการเมืองหนักยิ่งกว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงเข้าร่วมสนทนา แล้วเสด็จไปยังวัดต่อไป ปรากฏว่าที่วัดนี้ได้ทูลถามพระองค์ว่า “ท่านสังกัดนิกายใด รามัญนิกาย สยามนิกาย หรืออมรปุรนิกาย “

พระองค์ ตรัสว่า “เรามิได้สังกัดนิกายใด”

พระ เหล่านั้นได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกไม่ชอบใจพระตรงหน้า เพราะไม่ได้เป็นพวกเดียวกับตน กล่าวว่า “อย่าโกรธเรานะ เราไม่มีที่พักเหลือ ทุกห้องเต็มหมดแล้ว”

พระพุทธเจ้า เสด็จจากที่นั้น เสด็จจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง จากวัดหนึ่งไปสู่อีกวัดหนึ่ง โดยไม่ได้รับการต้อนรับจากผู้ใดเลย พระองค์ทรงเรียบง่ายเกินไป มีเพียงบาตรสะพายอยู่เบื้องหลัง พระบางรูปและอุบาสกบางคนรู้สึกไม่ชอบพระองค์ เพราะทรงเรียบง่ายและดูซอมซ่อจนเกินไป ไม่เหมือนพระพวกที่ครองจีวรไหมและอื่นๆ พวกพุทธศาสนิกชนไม่ได้สนใจพระองค์มากนัก ขณะเดียวกัน บาทหลวงคริสเตียนได้พบพระองค์และปฏิบัติกับพระองค์ด้วยเมตตา ด้วยคิดว่าพระองค์เป็นพระที่ดี เป็นผู้ทรงศีล มีเพียงบาทหลวงคริสเตียนเท่านั้นที่เห็น พุทธองค์มีค่า

พระพุทธองค์ เสด็จสัญจรจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ขณะเดียวกันมีอุบาสกผู้มีความรู้ท่านหนึ่งติดตามพระองค์ไปตลอด ดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพระพุทธองค์บ้าง ในที่สุด คืนหนึ่งอุบาสกได้เข้ามาใกล้พระพุทธเจ้ากราบทูลว่า “พระคุณเจ้าขอรับ ท่านไม่ได้รับการต้อนรับเลยสักแห่งเดียวไม่ว่าจะเป็นวัดหรืออุบาสก เพราะท่านไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเขา เท่าที่ดูจากท่าทางและลักษะของท่าน ผมสงสัยว่า ท่านน่าจะเป็นพระในแบบโบราณ ผมขออนุญาตถามท่านได้ไหมว่าท่านอายุเท่าไหร่”

“นับ แต่วันเกิดขอเราจนถึงปัจจุบัน ถ้านับกันจริงๆ มันน่าจะมากกว่าสองพันห้าร้อยปี” พระพุทธองค์ตรัสตอบ

ชาย ผู้นั้นตระหนักว่าพระภิกษุตรงหน้าคือพระพุทธเจ้า เขาทูลถามว่า “ท่านคือพระพุทธเจ้าใช่ไหม”

“ใช่ เราคือพระพุทธเจ้า”

“ดูซิ พระองค์คือพระพุทธเจ้า ถึงแม้พวกเขาจะเคารพพระองค์สร้างรูปเหมือนของพระองค์ แต่ในชีวิตของพระองค์ เมื่อพระองค์ไปหาพวกเขา พวกเขากลับไม่ต้อนรับพระองค์ นี่คือสภาพการณ์ของพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน ขอได้โปรดรับนิมนต์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จักจัดหาที่พักและทุกสิ่งที่พระองค์จำเป็นต้องใช้สอย”

ทั้ง หมดนี้คือเรื่องเล่า ถ้าพระพุทธองค์เสด็จมาจริงๆในวันนี้ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น โชคดีที่ท่านจะไม่เสด็จมา เพราะมันคือเรื่องเล่า (คัดจากหนังสือมนต์ขลังลังกา โดยพนิตา อังจันทร์เพ็ญ)

สถานการณ์ในเมืองไทยของเราเวลานี้ ก็คงไม่ต่างไปจากศรีลังกาในขณะนั้น ที่มีการป้ายสีกันและกันให้เป็นฝักฝ่าย หรือบางทีก็ก้าวไกลจนมอเห็นเป็นภูตผีปีศาจ กระทั่งเราไม่สามารถที่จะมองเห็น “ความเป็นคน” ของคนที่อยู่ตรงหน้าได้

เมืองไทยแม้จะเป็นเมืองพระ เมืองพุทธ แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะใฝ่ฟังธรรมะ หรือต่อให้พระพุทธองค์เสด็จมาเป็นคนกลางก็คงจะถูกปฏิเสธ

คนเรา นั้น พอเลือกที่จะหลับหูหลับตาจนไม่เหลือพื้นที่ให้กับสามัญสำนึกพื้นฐานที่พึงมี ต่อเพื่อนมนุษย์เสียแล้ว ก็จึงตกเป็นทาสของการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ป้ายสี เกลียดชัง และอยากให้ฝ่ายตรงข้ามหายนะให้ถึงที่สุด และอาการสุดท้ายของโรคแบ่งฝ่ายก็คือ การมองเห็นคนไม่ใช่คน หากแต่เห็นคนเป็น “สัตว์” (มิคสัญญี) พอการเมืองทำให้คนป่วยถึงขั้นนี้เมื่อไหร่ ก็ให้ระวังไว้เลยว่า สงครามกลางเมืองกำลังจะตามมา

ดังนั้น ก่อนที่สงครามกลางเมืองจะตามมา ก็ ขอให้เราจงช่วยกันลดทอนอาการเห็นคนไม่ใช่คนออกไปจากใจคนไทยทุกฝ่ายให้ได้มาก ที่สุด อย่างน้อย ก็โดยการไม่ไปซ้ำเติมสถานการณ์ทางการเมืองให้หนักขึ้นด้วยการกล่าวอ้างว่าตน ถูก อีกฝ่ายหนึ่งผิด เพราะความถูกผิดเป็นสิ่งสัมพัทธ์ ไม่มีใครผูกขาดความถูก หรือความผิดไปเสียทั้งหมด แต่แท้ที่จริงแล้ว แต่ละฝ่าย ล้วนมีแง่ที่ผิดและถูกดำรงอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ด้วย เหตุนี้ แทนที่จะกล่าวโทษกัน เราควรหันมาแสวงหาทางออกร่วมกันด้วยสติ ด้วยปัญญา ร่วม กันคิดร่วมกันพิจารณาว่า “เราจะหาทางออกจากวิกฤติโดยที่ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายเลย หรือโดยมีการบาดเจ็บล้มตายให้น้อยที่สุดได้อย่างไร” จะดีกว่า เพราะถ้าเรายังก้าวข้ามความถูก ความผิด หรือวิธีคิดแบบแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และคอยแต่จะกล่าวโทษกันและกันไม่ได้ สิ่งที่รออยู่ตรงหน้าก็ คือ “หายนะมวลรวมประชาชาติ” ของคนไทยทั้งปวงโดยแท้

ที่มา: จงมองคนให้เป็นคน จาก ท่าน ว.วชิรเมธี