วันที่ 26 มกราคม 2557
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ตรื่น ตรื่น ก๊าบ ตรื่น ก๊าบ เสียงเคาะประตูพร้อมเสียงแปร่งๆ ในแบบพม่าตะโกนเรียกอยู่บริเวณหน้าประตูห้องพัก ทำเอาผมสะดุ้งตื่นด้วยความงุนงง คว้าโทรศัพท์มือถือที่ปรับเป็นเวลาตามประเทศพม่าแล้วขึ้นมาดู โอ… เพิ่งจะเวลา 3.50 เอง ผมขานรับเป็นเชิงว่า ตื่นแล้ว แต่ในใจกลับสบถไปหลายคำเลยทีเดียว หลังจากนั้น หัวหนักๆ ของผมก็ตกไปบนหมอนอีกครั้งนึง แล้วไงว่ะ? ปลุกทำไม? คร่อกกกกก zzZZ เวลาตี 04.50 น. นาฬิกาปลุกที่ตั้งด้วยโทรศัพท์มือถือก็ทำงานด้วยกลไกของมันอีกครั้งอย่างเที่ยงตรงและซื่อสัตย์ แล้วก็ได้เวลาลุกจากเตียงไปล้างหน้า แปรงฟัน เก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ (สวมกางเกงยีนต์ที่มีเพียงตัวเดียวตลอดทั้งทริป) และคว้าเสื้อยืดตัวใหม่ออกมาเปลี่ยน จัดเก็บกระเป๋าเป้เรียบร้อยแล้ว ก็เดินขึ้นไปพระธาตุฯ อีกรอบ เพื่อสักการะบูชาอธิษฐานขอพรเป็นรอบที่สาม พร้อมบอกกล่าวเพื่อเป็นการร่ำลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก่อนที่จะเดินทางกลับเข้าเมืองย่างกุ้ง (Yangon) ในเช้าวันนี้ต่อไป แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากสิ่งที่ขอไว้ประสบผลสำเร็จจริงตามเวลาที่คาดหวังไว้ก็จะกลับมาไหว้อีกครั้ง… สาธุ
6 โมงเช้า สมาชิกในกรุ๊ปทัวร์ของพวกเรา 16 ชีวิต ก็มาร่วมตัวกันอีกครั้ง เพื่อรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน อาหารเช้าของโรงแรมไจท์โถ ถือว่าโอเคครับ มีเหมือนๆ โรงแรมบ้านเรา เพียงแต่ขนมปัง แยม เนย อาจมีคุณภาพต่ำกว่ามาตราฐานไปสักหน่อยเท่านั้นเอง แต่กินได้นะ เช้าๆ คนเยอะมากครับ เพราะคณะทัวร์ทุกคณะจะลงพร้อมๆ กัน คือราวๆ แปดโมง บวกกับวันนี้เป็นวันอาทิตย์ คนพม่าเองก็ขึ้นมาไหว้พระธาตุฯ เยอะด้วยเช่นกัน ทั้งไทย ทั้งพม่า เดินปะปนกันเยอะแยะจนแยกไม่ออกเลยครับว่าไหนคนไทย ไหนคนพม่า มิงกะลาบา…
รถบรรทุกเล็ก F1 ขาลงที่เรานั่งลงมาเช้านี้ ไม่มันส์เท่าตอนขาขึ้นครับ แต่เสียววววว หน้าทิ่มกันลงมาเลยทีเดียว สภาพอากาศเช้านี้ ระหว่างทางอากาศดีมาก อุณหภูมิน่าจะ 23-24 องศา มองเห็นวิวท้องฟ้า ภูเขา สวยจนไม่อยากไปไหนเลย หากหยุดเวลาได้จะขอหยุดเก็บบรรยากาศ สูดหายใจให้เต็มปวดสักชั่วโมง ผมได้แต่คิดในใจ ในขณะที่รถขนหมู F1 ก็ทะยานพุ่งลงเขา แบบที่ความคิดในตอนนั้นต้องกระเจิงกันไปเลยทีเดียว ขาลงเราใช้เวลาไม่นานเมื่อเทียบกับตอนขาขึ้นก็มาถึงจุดจอดรถบัสของคณะทัวร์เราแล้ว เร็วจัง… เวลาที่เรามีความสุขกับอะไรสักอย่าง วันเวลามักจะผ่านไปเร็วเช่นนี้เสมอๆ สินะ
นับจากจุดพักเปลี่ยนรถตรงนี้ พี่แสงไกด์พม่าบอกกับพวกเราว่ารถบัสจะไม่แวะไม่จอดที่ไหนอีกแล้วครับ จนไปเข้าเขตเมืองย่างกุ้งเลย รถบัสคณะเราใช้เส้นทางสายใหม่ คือ ถนนที่ตัดเข้ากรุงเนปิดอว์ (Naypyidaw) ซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่ของประเทศพม่าในการย้อนกลับเข้าย่างกุ้งครับ ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง โดยประมาณ ยาวไป ยาวไป…
พอรถบัสเลี้ยวขวาออกจากเส้นทางไฮเวย์ ก็ทำให้พวกเรารู้ว่ากำลังเข้าสู่เมืองย่างกุ้งแล้ว เพราะรถรา และผู้คนเริ่มพลุกพล่านตลอดสองข้างทางที่ผ่านมา พี่ซุปหัวหน้าทัวร์ก็นำคณะเราไปวัดเจ๊าทัตจี (Chauk Htat Gyi Pagoda Image) หรือ พระนอนตาหวาน องค์พระใหญ่ และสวยมากครับ ส่วนตานั้น ก็หวานสมกับที่คนไทยมาตั้งชื่อให้ว่า “พระนอนตาหวาน” จริงๆ กราบไหว้ขอพร ถ่ายภาพเป็นที่บันทึก (เอ… หรือระลึกดี) เป็นที่เรียบร้อยกันแล้ว พี่แสงไกด์พม่าและพี่ซุปหัวหน้าทัวร์ก็ลงความห็นกันว่า จะพาพวกเราไปรับประทานอาหารเที่ยงกันก่อนที่ร้านอาหาร Western Park Ruby สำหรับอาหารที่นี้ ก็จัดออกมาประมาณโต๊ะจีนครับ นั่งโต๊ะละ 8 คน มีอาหาร 8 อย่าง ดังนี้ ต้มยำน้ำใส, ผัดถั่วลันเตาเห็ด, ปูนิ่มผัดผงกระหรี่, ผัดเต้าหู้ข้าวโพดอ่อนใส่ปลาทอดกรอบ (ปลาอะไรไม่รู้ครับ), ยำถั่วพม่า, กุ้งผัดพริกไทดำ, เป็ดปักกิ่ง และ สลัดกุ้งมังกร!! อาหารรสชาตดี และที่นี้เขามีบริการฟรี WiFi ด้วยนะครับ พวกเราก็จดจ่อเพลิดเพลินกับหน้าจอมือถืออยู่สักพักใหญ่ โดยปล่อยให้อาหารลงคอไปแบบรู้รสบ้าง ไม่รู้รสบ้างกันเลยครับ
หลังจากผ่านมื้อเที่ยงไปแบบแทบจะกลืนกิน WiFi ไปด้วยเลย พี่แสงไกด์พม่าก็พาไปเดินย่อยอาหารกลางวันกันที่ตลาดสก็อต (Scott Market) หรือ ตลาดโบจ๊กอองซาน (Bogyoke Aung San Market) ที่ชาวพม่าเรียกกัน สำหรับที่ตลาดแห่งนี้ สินค้าที่นิยมขายกันก็จำพวกหยก กำไลหยก และพลอยต่างๆ เหมือนๆ แม่สอดเลยครับ (หากถ้าใครเคยไปแม่สอดมาแล้ว แบบนั้นเลย) ผมเดินเล่นซักพักก็ไปได้หุ่นกระบอกมา 1 ตัว ราคาร้อยกว่าบาทเอง น่ารักน่าชังดี (จริงๆ ตั้งใจจะซื้อเสื้อมากกว่า) สุดท้ายก็เบื่อๆ ครับ ไม่รู้จะซื้ออะไร ก็ออกไปเดินเล่นฝั่งตรงข้ามตลาดสก๊อต เพื่อถ่ายภาพเล่นและเก็บบรรยากาศของชาวพม่าในย่างกุ้งไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะออกไปไกลมากนัก กลัวว่าเดี๋ยวคณะจะรอนาน เมื่อทุกคนกลับมาที่จุดนัดพบกันครบแล้ว
พี่แสงก็พาไปเจดีย์โบตะตาว (Bo Tah Taung Pagoda) ซึ่งเป็นสถานที่บรรจุพระเกศาธาตุ 1 เส้น และพระบรมสารีริกธาตุครับ ไหว้พระธาตุเสร็จก็ไปขอพรกับ “นัตโบโบยี” หรือ “เทพทันใจ” กันต่อ โดยพี่แสงได้อธิบายวิธีบูชาว่าควรทำอย่างไรบ้างตอนอยู่บนรถก่อนหน้านี้แล้ว วิธีสักการะ ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรครับ เพียงแค่ซื้อชุดผลไม้บูชา ชุดเล็ก 1,000 จั๊ต ชุดใหญ่ 3,000 จั๊ต (มั่งนะครับ? ผมจำราคาแน่นอนไม่ได้!) เสร็จก็นำไปวางบนโต๊ะหน้าเทพทันใจ คล้องผ้าสีให้ท่าน (เตรียมธนบัตรพม่า 1 ใบ ทำเป็นกรวยแล้วพับตูดปิดซะ และเงินไทย 1 ใบทำเป็นกรวยเช่นเดียวกัน แต่ไม่ต้องพับตูดนะครับ สอดทับกันไปเลย) หลังจากนั้นนำเงินที่เตรียมไว้ไปใส่มือของนัตโบโบยี พนมมือขึ้นแตะมือท่าน เอาหน้าผากกดลงบนนิ้วที่ท่านชี้และก็อธิษฐานขอได้เลยครับ จะขอกี่อย่างก็ได้นะครับ ทีบางคนบอกว่าให้ขอได้อย่างเดียว เป็นเพราะคนมันเยอะครับ ถ้าขอทุกอย่างแต่ละคนคงจะใช้เวลานานมาก ยิ่งคนไทยด้วยแล้วเนี๊ย ขอแบบทุกอย่างในชีวิตและขอเผื่อต้นตระกูลยันลูกหลานเลยครับ เอาเป็นว่า ขอกันพอประมาณ โฟกัสๆ หน่อยว่าอยากประสบความสำเร็จด้านไหน แค่นั้นพอครับ แต่มีชาวพม่ากระซิบบอกกับผมว่า “นัตโบโบยี ชอบช่วยเหลือผู้คนด้านเงินทอง หากขอเกี่ยวกับเงินๆ ทอง หรือ ความร่ำรวยก็จะเห็นผลเร็ว” ขอพรเสร็จให้เราหยิบเงินบาทของเราเก็บไว้เป็นเงินขวัญถุงนะครับ จะได้เฮง เฮง เฮง เสร็จสรรพแล้วก็เดินออกมาที่ฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าเจดีย์โบตะตาวจะมี “เมี๊ยะนานหน่วย” หรือ “เทพกระซิบ” ซึ่งพี่ไกด์บอกกับพวกเราว่า ให้ขอเรื่องที่เกี่ยวกับความรัก อืม… จัดกันไป ฮ่าฮ่าฮ่า
และแล้วก็มาถึงสถานที่ซึ่งเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของประเทศพม่าอีกหนึ่งแห่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ 3 แล้วสำหรับคณะทัวร์ของเราในทริปนี้ครับ นั่นคือ มหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwe Da Gon Pagoda) พวกเรามาถึงที่นี้ช่วงเย็นๆ พี่ซุปหัวหน้าทัวร์บอกกับพวกเราว่า อยากให้มาเห็นสองบรรยากาศ คือ ช่วงเย็นขณะที่ยังไม่เปิดไฟส่องเจดีย์พระธาตุฯ กะตอนพระอาทิตย์ตกแล้ว จะได้ดูแสงไฟที่สาดส่องเข้าองค์พระธาตุฯ เพื่อดูความเหลืองอร่ามของสีทองที่ตัวองค์พระธาตุกันครับ ผมสังเกตุว่าสีก็ไม่ได้ทองอร่ามมากนัก ในตอนเย็นนะครับ แต่ที่สีทองเด่นเหลืองอร่ามช่วงกลางคืนนั้น ก็เข้าใจได้เลยว่า คือแสงของหลอดไฟ Warn Light ที่ส่องเข้าหาตัวเจดีย์ฯ นั่นเอง สวยครับ ใครยังไม่ได้มาเห็น ไม่ได้มาเที่ยวพม่า จะไม่รู้เลยครับว่า สวยอย่างไร หากตัดเรื่ององค์เจดีย์ฯ ออกไปเป็นกรณีเฉพาะแบบไม่พูดถึงนะ ผมว่าการที่เราได้มาสัมผัส ได้มาเห็นวิถีความเป็นอยู่ แนวคิด วิถีการดำเนินชีวิตในอีกมุมนึง ซึ่งเป็นมุมเล็กของชาวพม่าในมหาเจดีย์ชเวดากองแห่งนี้ แค่นี้ก็คุ้มค่าแล้วครับ เคยมีคนบอกผมว่า “การเดินทางไปในที่แปลกใหม่ ไม่ว่าจะที่ใดก็ตามบนโลกใบนี้ จะทำให้ทัศนคติเราเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หากเราใส่ใจกับรายละเอียดของการเดินทางนั้นมากพอ”
หลังจากชมความงดงามของหลอดไฟ Warn Light เอร๊ย… พระมหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwe Da Gon Pagoda) กันเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารมื้อค่ำกันแล้ว พี่แสงไกด์พม่าพาไปรับประทานอาหารกันที่ ภัตตาคารการะเวท (Karaweik Restaurant) ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างกลางน้ำที่แปลกตาพอดู ก่อสร้างตัวอาคารเป็นรูปเรือ 2 กาบ ส่วนหัวเรือทำเป็นรูปนกการะเวท มีผู้รู้บอกว่า เป็นการสร้างเลียนแบบเรือพระที่นั่งของกษัตริย์พม่าครับ( ก็จะใครล่ะที่บอกถ้าไม่ใช่ไกด์ประจำทริปของเรา) สำหรับอาหารเป็นอาหารนานาชาติ (ไทย?) หน้าตาและรสชาตใกล้เคียงบ้านเราเลยน่ะนะครับ ไม่ว่าจะแกงเขียวหวาน ต้มยำน้ำข้น ขนมจีนเส้นพม่า ชูชิ ผักสลัด ซุปข้าวโพด ซุปเห็ด ปีกไก่ทอด ฯลฯ บุฟเฟต์โรงแรมในไทยแบบไหน ที่นี้ก็แบบนั้นเลย อ่อ… มีต่างออกไปนิดหน่อย ตรงที่มีขนมพม่า และ… อืม จะเรียกอะไรดี อาหารว่างของชาวพม่ามั่ง น่าจะประมาณนั้น คือ พวกถั่ว แป้งบดทอด อะไรประมาณนี้ อร่อยดีครับ ขณะที่นั่งรับประทานอาหารกันไป ก็จะมีการแสดงร่ายรำแบบพม่าๆ บนเวทีให้เราได้ชมกันเพลินๆ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการทานด้วยครับ บรรยากาศที่นี้หรูหรามาก ถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ไฮโซจริงไรจริง…
อิ่มหน่ำและสนุกสนานกับการแสดงโชว์ที่ภัตตาคารการะเวทแล้ว ก็กลับเข้าที่พัก ค่ำคืนนี้นอนกันที่ Central Hotel ผมไม่แน่ใจว่า เจ้าของจะเป็นคนๆ เดียวกะร้านอาหารเมื่อวานที่คณะทัวร์พวกเราไปทานมาก่อนหน้านี้รึเปล่า? เห็นชื่อเหมือนกัน แค่สงสัยครับ เป็นเด็กขี้สงสัย!! พี่ไกด์และหัวหน้าทัวร์อยากให้พวกเรารีบนอนกันแต่เช้า เพราะพรุ่งนี้เช้าเราจะต้องตื่นเวลาตี 3 เพื่อไปรอขึ้นเครื่องบินภายในประเทศเวลา 05.00 น. ไปเมืองพุกามครับ ใช่แล้ว พรุ่งนี้เราจะไปกินฝุ่นกันทั้งวันที่เมืองพุกาม (Bagan)
หลังจากเข้าห้องพักอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย ผมก็ลงมาล็อบบี้ของโรงแรม เงียบมาก โถงล็อบบี้เวลานี้ไม่มีแขกเหรื่อหลงเหลืออยู่เลย พนักงานรีเซฟชั่นมองมาที่ผมขณะลิฟต์กำลังเปิดประตูออก มองจนผมเขิลๆ แต่ก็ทำได้เพียงส่งยิ้มกลับไปให้เท่านั้น ก้าวเท้าออกมาจากลิฟต์ได้ ก็เดินจ้ำออกประตูโรงแรมไปเลยครับ แต่ต้องอึ้งยิ่งกว่าพนักงานจ้องมองซะอีก คือ ท้องถนนเงียบและมืดมาก เมืองย่างกุ้ง เมืองหลวงนะคร้าบบบเนี๊ย (อดีต) เวลาตอนนี้เพิ่งจะสองทุ่มนิดๆ เอง จะว่าไปก็สามทุ่มแล้วล่ะ มีรถราบ้างแต่น้อยมาก ตายห่า (ผมอุทานในใจ) เอาไงดีว่ะ จะออกมาหาเบียร์กินนั่งร้านชิลๆ ซะหน่อย น่ากลัวชิบ! พนักงานโรงแรมเดินตามออกมาถามว่า “What do you want?” ต่างคนต่างจ้องมองตากัน ปิ้ง ปิ้ง ปิ้ง ผมตอบไปสั้นๆ แบบที่สมองยังกลวงๆ คิดตามไม่ทันอยู่ในขณะนั้น “u.. u.. you” ต่างคนต่างหยุดหายใจกันสักพัก พอตั้งสติได้ ผมก็ต่อด้วยประโยคที่ว่า “Um, Can i have some beer?” เฮ้อ…โล่งอก! นึกว่าจะโดนตบซะแล้ว ได้เบียร์มากระป๋องนึง เอาๆ กินๆ ไปซะ บรรยากาศนั่งดูเอาในห้องก็ได้ บิ้วกันไป เบียร์หมดกระป๋องในเวลาไม่ถึงสองนาที ก่อนที่อารมณ์จะค้างผมคงต้องตัดใจเข้านอนแล้วครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า ท่องไว้ ท่องไว้… ตื่นเช้า ตื่นเช้า…. ก่อนหัวจะถึงหมอนก็ยังไม่วายนึกถึงสาวพม่า ผิวเข้มในตาแขกคนนั้นจนได้สินะ คร่อกกกกก…..
กริ้งง กริ้งงง กริ้งงงงงงงงง….. >> วันที่ 3 ทริปพม่า